หลักสูตรเศรษฐศาสตรมหาบัณฑิต เริ่มเปิดสอนเป็น ครั้งแรกเมื่อปีการศึกษา 2511
และได้ พัฒนาตลอดมา
โดยเมื่อปีการศึกษา 2531 ได้ทำการเพิ่มหมวดวิชา เศรษฐศาสตร์สาธารณสุข
และเมื่อปีการศึกษา 2532
เพิ่มหมวดวิชาเศรษฐศาสตร์การเมืองเข้าไว้ในหลักสูตร เดิม

จากการวิเคราะห์หลักสูตรเศรษฐศาสตรมหาบัณฑิต
ฉบับปรับปรุงเมื่อปีการศึกษา 2531 และ 2532 ซึ่งพบว่า :
 
     
 
ก.
หลักสูตรนั้นขาดความยืดหยุ่นค่อนข้างมาก ทั้งในแง่ของวิชาบังคับในหลักสูตร การไม่มีสาขาชำนาญเฉพาะ จำนวนหน่วยกิตตลอดหลักสูตร และการพัฒนางานวิจัย
เพื่อทำวิทยานิพนธ์ซึ่งมีผลให้การพัฒนาองค์ความรู้ของ ผู้เรียนเป็นไปได้ยาก และขาดความสมบูรณ์ต่อเนื่อง
ข.
การเปลี่ยนแปลงในความต้องการของตลาดแรงงาน เริ่มปรากฏทิศทางว่าต้องการมหาบัณฑิต
ทางเศรษฐศาสตร์ที่มีความรู้ความชำนาญเฉพาะสาขามากขึ้น เมื่อเทียบกับคุณลักษณะ ของมหาบัณฑิตตามหลัก สูตรปัจจุบัน ซึ่งจัดให้ความรู้ในระนาบกว้างโดยไม่มี
แขนงวิชาชำนาญเฉพาะ
ค.

หลักสูตรเศรษฐศาสตรมหาบัณฑิตปัจจุบัน จะปรากฎ ความไม่สอดคล้องอย่างมากกับ
หลักสูตรเศรษฐ ศาสตร์บัณฑิตในระดับปริญญาตรี ซึ่งได้พัฒนา ปรับปรุงแล้ว และได้รับอนุมัติให้เปิดสอนแล้ว ตั้งแต่ ปีการศึกษา 2535 เป็นต้นมา ซึ่งในหลักสูตรระดับ
ปริญญาตรีนั้นได้จัดแขนงวิชา ชำนาญเฉพาะไว้เป็น 9 แขนงวิชาด้วยแล้ว จึงสมควรปรับปรุงหลักสูตรระดับ ปริญญาโทให้สอดคล้องต่อเนื่องจากหลักสูตรระดับ
ปริญญาตรีด้วย

 
     
 
ด้วยเหตุผลและหลักการดังกล่าวจึงได้ทำการพัฒนา ปรับปรุง หลักสูตรเศรษฐศาสตรมหาบัณฑิต ฉบับ พ.ศ. 2537 โดยกำหนดวัตถุประสงค์ของหลักสูตรไว้ เพื่อผลิตมหาบัณฑิตทางเศรษฐศาสตร์ ที่มีความรู้ความ เข้าใจในทฤษฎีเศรษฐศาสตร์
และสามารถประยุกต์ ความรู้ทางเศรษฐศาสตร์เฉพาะสาขา ในการศึกษา วิเคราะห์และวางแผน ปฎิบัติงานได้ดีทั้งในภาครัฐบาล
ภาคสาธารณะ ภาคเอกชน และในองค์การระหว่าง ประเทศ

การปรับปรุงหลักสูตรเศรษฐศาสตรมหาบัณฑิตจึงมีแนวทางเฉพาะดังต่อไปนี้ :
 
     
 
ก.
เป็นการปรับปรุงให้สอดคล้องต่อเนื่องกับหลักสูตร เศรษฐศาสตรบัณฑิต (ซึ่งได้ปรับปรุงไปแล้ว) โดย
เฉพาะในการพัฒนาแขนงวิชาชำนาญเฉพาะของ ผู้เรียน
ข.
เป็นการจัดให้มีจำนวนหน่วยกิตรวมและจำนวนหน่วยกิตแขนงวิชาชำนาญเฉพาะที่พอเหมาะกับการพัฒนา
องค์ความรู้เฉพาะกิจ และสามารถสำเร็จการศึกษา ได้อย่าง มีประสิทธิภาพสูง
ค.

เพื่อให้หลักสูตรมีความยืดหยุ่นและเหมาะสมกับความ ถนัดของนิสิตผู้เรียนเป็นรายบุคคลยิ่งขึ้น